ยุคใหม่ของฟอเรสต์เริ่มต้นอีกครั้ง ภายใต้การคุมทีมของ “ฌอน ไดช์”
เสียงเพลง “Mull of Kintyre” ดังก้องไปทั่วสนามซิตี้กราวด์ ขณะที่แฟนบอลน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ร้องประสานเสียงอย่างภาคภูมิใจ และบนเส้นข้างสนามนั้น ฌอน ไดช์ (Sean Dyche) ยืนมองไปรอบๆ สนาม ราวกับกำลังซึมซับทุกวินาทีของช่วงเวลาที่พิเศษนี้
เพลงจากศิลปินในตำนาน พอล แม็คคาร์ทนีย์ (Paul McCartney) กลายเป็นเพลงประจำสโมสรตั้งแต่ปี 1978 หลังจากฟอเรสต์คว้าแชมป์ดิวิชัน 1 ภายใต้การคุมทีมของ ไบรอัน คลัฟ (Brian Clough)
และหลายทศวรรษให้หลัง ไดช์—ผู้จัดการทีมคนที่สามของฟอเรสต์ในฤดูกาลนี้—ก็หวังว่าจะได้ยินเพลงนี้ดังขึ้นอีกหลายครั้ง หลังจากพาทีมเปิดบ้านเอาชนะ ปอร์โต้ คว้าชัยนัดแรกของยุคใหม่ได้สำเร็จ
การกลับมาที่รอคอยกว่า 35 ปี
นี่คือการกลับมาของชายผู้เคยเป็นนักเตะดาวรุ่งของฟอเรสต์เมื่อปี 1987 ก่อนย้ายไปเชสเตอร์ฟิลด์ และในเกมยูโรป้าลีกนี้ ไดช์ได้สัมผัสบรรยากาศที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด
“ผมรอคอยช่วงเวลานี้มานานมาก ตั้งแต่ตอนเป็นนักเตะเยาวชนในปี 1987 ความฝันของผมมีแค่ได้ใส่เสื้อของฟอเรสต์”
“วันนี้การได้กลับมาในฐานะผู้จัดการทีม มันคือความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุด ผมแค่อยากหยุดทุกอย่างไว้ชั่วขณะ เพื่อจดจำมันในใจ”
— ฌอน ไดช์ กล่าวอย่างซาบซึ้ง
กิ๊บส์-ไวท์ และอีเกร์ เฮซุส ซัดพาฟอเรสต์ปลดล็อกชัย
ประตูจาก มอร์แกน กิ๊บส์-ไวท์ (Morgan Gibbs-White) และ อีเกร์ เฮซุส (Igor Jesus) จากลูกจุดโทษ พาฟอเรสต์เก็บชัยชนะนัดแรกนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
ในเกมนี้ ฟอเรสต์ไม่มี คริส วู้ด (Chris Wood) ที่บาดเจ็บหัวเข่า ซึ่งถือเป็นกองหน้าคนโปรดของไดช์ตั้งแต่สมัยร่วมงานกันที่เบิร์นลีย์ (ยิงไป 53 ประตูภายใต้ไดช์)
แต่เฮซุสก็ทำหน้าที่แทนได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเคลื่อนที่ลงต่ำสร้างปัญหาให้แนวรับปอร์โต้ และปิดเกมด้วยการยิงลูกโทษเข้าไปอย่างมั่นใจ
ปรับแผนใหม่ – เสริมเกมรับให้แน่น
ไดช์เปลี่ยนระบบเป็นแผงหลัง 4 ตัว โดยมี มูริลโล่ และ นิโคลา มิลินโควิช ยืนคู่เซ็นเตอร์ พร้อมมี เอลเลียต แอนเดอร์สัน และ ดักลาส ลุยซ์ คุมกลางสนามช่วยคุมจังหวะ
แอนเดอร์สันวิ่งไม่มีหมด เปิดทางให้กิ๊บส์-ไวท์เล่นเกมรุกได้อย่างอิสระ ขนาบข้างด้วย คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย และ แดน เอ็นดอย ที่ใช้ความเร็วสร้างโอกาส แม้บางจังหวะยังขาดความเฉียบคม
ผู้เล่นใหม่มูลค่ากว่า 120 ล้านปอนด์ อย่าง เจมส์ แมคอาที, โอมาริ ฮัทชินสัน, ดิลาน บัควา และ อาร์โนด์ คาลิมูเอนโด้ หลุดจากทีมในเกมลีกก่อนหน้า แต่ไดช์เรียกแมคอาทีและคาลิมูเอนโด้กลับมานั่งสำรอง ส่วนฮัทชินสันไม่ได้อยู่ในโควตายุโรป และบัควาบาดเจ็บ
ทีมกลับมามี “หัวใจนักสู้” อีกครั้ง
เกมนี้ฟอเรสต์ดูมีชีวิตชีวามากกว่าในยุคของ อังเก้ ปอสเตโคกลู (Ange Postecoglou) ที่พยายามให้ทีมเล่นเกมเพรสสูง แต่ไม่ค่อยได้ผล
ไดช์พาทีมกลับสู่สไตล์ที่คุ้นเคย — แน่นในเกมรับ รอจังหวะสวนกลับ และเล่นด้วยพลังเต็มที่
ผลลัพธ์คือคลีนชีตแรกในรอบ 21 นัด นับตั้งแต่เกมชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 เมื่อเดือนเมษายน
“ผมพอจะหายใจได้บ้างแล้วคืนนี้” กิ๊บส์-ไวท์ กล่าวกับ TNT Sports
“สองเดือนที่ผ่านมามันยากมาก ทั้งการเปลี่ยนโค้ชและฟอร์มที่ไม่ดี แต่ชัยชนะครั้งนี้ทำให้เรากลับมามีความมั่นใจ”
“โค้ชบอกเราว่าฤดูกาลก่อนเรามีเอกลักษณ์ชัดเจน และเขาต้องการสร้างต่อจากตรงนั้น ผมดีใจที่ทีมกลับมาเล่นด้วยสปิริตแบบเดิมอีกครั้ง”
แฟนบอลฟอเรสต์หนุนหลังยุคใหม่เต็มตัว
ก่อนหน้านี้แฟนบอลเคยตะโกน “ไล่โค้ชตอนเช้าแน่!” ใส่ปอสเตโคกลูในเกมยุโรป จนสุดท้ายเขาถูกปลดหลังพาทีมแพ้มิดทิลแลนด์และเชลซีแบบหมดรูป
แต่ในเกมกับปอร์โต้ บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยพลังแห่งความหวัง
ก่อนเกม ไดช์ยังพูดถึงความทรงจำในยุคไบรอัน คลัฟ เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน รวมถึงสุนัขชื่อ “เดล บอย” ของคลัฟที่เคยวิ่งเล่นรอบสนาม เป็นการสื่อสารที่โดนใจแฟนบอลอย่างมาก
ทีมสตาฟฟ์ของเขาก็เต็มไปด้วยคนคุ้นเคย เช่น เอียน โวน (Ian Woan) และ สตีฟ สโตน (Steve Stone) อดีตแข้งฟอเรสต์ที่เคยร่วมงานกับไดช์ทั้งที่เบิร์นลีย์และเอฟเวอร์ตัน
เสียงเชียร์ในซิตี้กราวด์กลับมาดังกึกก้องอีกครั้ง และหลังจบเกม แฟนบอลยังจุดพลุฉลอง พร้อมร้องเพลง “Forest are back!” ดังก้องทั่วเมือง
“เวลาอยู่ข้างสนาม ผมไม่ได้ยินทุกคำ แต่ผมฟังออกว่ามันเป็นเสียงเชียร์ที่เต็มไปด้วยพลังบวก”
“ผมไม่ได้มาเพื่อพิพากษาอดีต แต่เพื่อทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด และแน่นอนว่าชัยชนะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้เร็วขึ้น”
“แฟนบอลที่นี่แฟร์มาก พวกเขาเข้าใจ ถ้าเห็นนักเตะเล่นด้วยหัวใจและความภาคภูมิในเสื้อทีม พวกเขาก็พร้อมจะยอมรับ”
“เริ่มต้นด้วยฟอร์มที่ดีและชัยชนะ — มันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับทุกคน”
— ฌอน ไดช์ กล่าวหลังเกม
ภาพรวมยุคใหม่ของฟอเรสต์ภายใต้ไดช์
- ชนะปอร์โต้ 2-0 ในเกมเปิดตัว
- เก็บคลีนชีตแรกในรอบ 21 นัด
- ทีมเล่นด้วยวินัยและสปิริตแบบ “ไดช์สไตล์”
- แฟนบอลหนุนหลังเต็มที่ บรรยากาศทีมกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
