เพียง 15 นาทีหลังจากสโมสร เซลติก (Celtic) ออกแถลงข่าวสั้น ๆ ความยาวเพียง 134 คำ ยืนยันการ “ลาออกแบบสายฟ้าแลบ” ของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส (Brendan Rodgers)
จู่ ๆ ก็เกิด “ระเบิดข่าวลูกใหญ่” จาก เดิร์มอต เดสมอนด์ (Dermot Desmond) ผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสร
ด้วยถ้อยคำความยาวกว่า 551 คำ เดสมอนด์เขียนแถลงการณ์ “โจมตีอย่างรุนแรง” ต่ออดีตเพื่อนร่วมงานของเขา —
ชายที่เขาเป็นคนชักชวนให้มาคุมทีมในปี 2016 เพื่อรับมือกับเรนเจอร์ส และชายคนเดียวกันที่เขาเรียกกลับมาอีกครั้งในปี 2023 หลังอังเก้ ปอสเตโคกลู (Ange Postecoglou) ย้ายไปคุมสเปอร์ส
คำตอบโต้ของเดสมอนด์รุนแรงถึงขั้นทำให้ “การกลับมาของมาร์ติน โอนีล (Martin O’Neill)” ที่เป็นข่าวใหญ่ กลายเป็นเรื่องรองในทันที
การกลับมาของมาร์ติน โอนีล – เรื่องรองในพายุลูกใหญ่
โอนีล วัย 73 ปี หวนกลับมานั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมหลังห่างหายไป 20 ปี
ผู้ชายที่เคยพาเซลติกคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย และกลายเป็นตำนานในยุคต้นทศวรรษ 2000
แม้เขาจะอยู่ในวัยที่หลายคนคิดว่า “เกษียณแล้ว” แต่โอนีลเองเคยให้สัมภาษณ์ไม่นานนี้ว่า “ยังอยากได้งานคุมทีมอีกครั้ง”
ดังนั้น โอกาสครั้งนี้สำหรับเขาเปรียบเสมือน “ของขวัญจากพระเจ้าแห่งเซลติก”
แม้จะเป็นเพียงตำแหน่งชั่วคราว แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าโอนีลจะไม่ยอมปล่อยมือจากโอกาสนี้ง่าย ๆ
“การลอบฆ่าทางบุคลิก” – เดสมอนด์เปิดฉากฟาดร็อดเจอร์ส
ถ้อยคำของเดสมอนด์ในแถลงการณ์เรียกได้ว่าเป็น “การลอบสังหารทางบุคลิก (Character Assassination)”
เขาโจมตีร็อดเจอร์สอย่างตรงไปตรงมา โดยกล่าวหาว่าเป็น “คนไม่น่าเชื่อถือ บิดเบือนข้อเท็จจริง และสร้างความแตกแยกในทีม”
“นี่คือคนที่เห็นแก่ตัว ต้องการเอาตัวรอดโดยไม่สนผู้อื่น”
— เดิร์มอต เดสมอนด์ กล่าว
คำพูดนี้สร้างแรงสะเทือนครั้งใหญ่ เพราะเดสมอนด์มักเป็นคนที่ไม่ออกสื่อและไม่พูดมาก
เขาแทบไม่เคยให้สัมภาษณ์เลยนอกจากในโอกาสสำคัญ ๆ
แต่ครั้งนี้ เขาเลือก “เปิดสงครามต่อสาธารณะ” ด้วยตัวเอง
จากคนสนิทสู่ศัตรู – ความสัมพันธ์ที่พังลงตรงหน้า
ในช่วงแรกของการกลับมาคุมทีมปี 2023 ร็อดเจอร์สและเดสมอนด์ถือว่า “แน่นแฟ้น”
ร็อดเจอร์สมักกล่าวชื่นชมเดสมอนด์ในทุกโอกาส และทั้งคู่ดูเหมือนมีความเข้าใจร่วมกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความทะเยอทะยานของร็อดเจอร์สเริ่มชนเข้ากับ “แนวทางธุรกิจแบบอนุรักษ์นิยม” ของสโมสร
เขาเริ่มพูดถึงความล่าช้าในตลาดซื้อขายนักเตะ การเจรจาที่ไม่เด็ดขาด และการขาด “ความคล่องตัว” ที่ทำให้ทีมพลาดเป้าหมายหลายราย
แม้สโมสรจะใช้เงินมหาศาลซื้อนักเตะอย่าง
- อาร์เน่ เองเกลส์ (£11 ล้าน)
- อดัม ไอดาห์ (£9 ล้าน)
- ออสตัน ทรัสตี้ (£6 ล้าน)
แต่ผลลัพธ์กลับไม่คุ้มค่า — โดยไอดาห์ถูกปล่อยออกไปแล้วด้วยซ้ำ
ร็อดเจอร์สยังพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าสื่อบ่อยครั้ง จนกลายเป็น “ปัญหาภายในที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ”
และสำหรับเดสมอนด์ นั่นคือ “เส้นที่ไม่ควรถูกข้าม”
สงครามเย็นระหว่างบอร์ดกับกุนซือ
ในช่วงกลางปี มีข่าวจาก “แหล่งข่าวใกล้ชิดสโมสร” หลุดออกมาทางสื่อท้องถิ่นว่า
“ร็อดเจอร์สกำลังทำลายภาพลักษณ์ของสโมสร และพยายามสร้างทางออกให้ตัวเอง”
ข่าวดังกล่าวถูกมองว่าเป็น “การปล่อยข่าวเพื่อเล่นงานร็อดเจอร์ส”
และมันได้ผล — เพราะกุนซือเรียกร้องให้ “สอบสวนและลงโทษคนที่ปล่อยข่าว”
แต่ก็ไม่มีการสืบสวนใด ๆ ตามมา
นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า เขากำลัง “เสียการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง”
ฟอร์มตก + คำพูดแรง = จุดจบที่ชัดเจน
ฤดูกาลนี้ เซลติกเริ่มต้นอย่างย่ำแย่
- ตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอย่างน่าอับอาย
- ฟอร์มในลีกตกต่ำ
- บรรยากาศในห้องแต่งตัวเต็มไปด้วยความกดดัน
และเมื่อร็อดเจอร์สออกมาพูดหลังแพ้ ดันดี (Dundee) ว่า
“คุณจะให้ผมขับฮอนด้าซีวิค แล้วบอกให้มันวิ่งเหมือนเฟอร์รารีไม่ได้หรอก!”
แฟนบอลถึงกับ “หน้าชา” เพราะนี่ไม่ใช่การแพ้ทีมยักษ์ แต่คือทีมงบน้อยกว่าหลายเท่า
คำพูดนั้นกลายเป็น “จุดเดือด” ที่แฟนบอลไม่ให้อภัย
ถึงกระนั้น หลายคนยังเลือกอยู่ข้างร็อดเจอร์ส เพราะเชื่อว่าเขา “พูดความจริงที่ไม่มีใครกล้า”
พวกเขามองเขาเป็น “เหยื่อของระบบบริหารที่ล้าสมัย”
จดหมายเดือดจากเดสมอนด์ – ปิดฉากยุคแห่งความวุ่นวาย
หลังเกมแพ้ ฮาร์ทส์ ที่ทำให้ทีมตามหลังจ่าฝูง 8 คะแนน เดสมอนด์ตัดสินใจ “ลงมือเอง”
เขาเปิดแล็ปท็อป และเขียนจดหมายยาวกว่า 500 คำ
เต็มไปด้วยถ้อยคำดุดัน ตัดขาดความสัมพันธ์ทุกด้านกับร็อดเจอร์ส
เขากล่าวหาว่าร็อดเจอร์ส “พูดไม่ตรงกับความจริง”, “ทำให้บอร์ดและครอบครัวของพวกเขาถูกโจมตีจากแฟนบอล”,
และ “ทำลายความสามัคคีของสโมสรอย่างสิ้นเชิง”
นักกฎหมายของทั้งสองฝ่ายเตรียมเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะถ้อยคำในจดหมายนี้ “รุนแรงถึงขั้นอาจฟ้องร้องได้”
“หย่าร้าง” ที่เจ็บปวดแต่จำเป็น
ท้ายที่สุด การแยกทางคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งสองฝ่ายหมดความไว้วางใจซึ่งกันและกันโดยสิ้นเชิง
“นี่คือการหย่าร้างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เต็มไปด้วยความอับอายและบาดแผล”
— BBC Scotland ระบุ
แม้ร็อดเจอร์สจะมีเหตุผลที่ถูกต้องในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องระบบซื้อขายที่ล่าช้า
แต่การจัดการของเขาก็ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น
แฟนบอลบางส่วนมองว่าเขาเป็น “เหยื่อของระบบ”
แต่บอร์ดมองว่าเขาคือ “ต้นเหตุของความแตกแยก”
สรุป: ไม่มีการกลับมาอีกแล้ว
เมื่อทั้งสองฝ่ายเลือกใช้ “สงครามคำพูด” ต่อกันต่อหน้าสื่อ
มันได้ตอกย้ำว่า ความสัมพันธ์นี้สิ้นสุดลงแล้วโดยสมบูรณ์
“นี่คือการแยกทางที่โหดร้ายและไร้เยื่อใย ไม่มีแม้โอกาสกล่าวลาอย่างเป็นทางการ”
— ทอม อิงลิช, BBC Scotland
