สิ้นยุคร็อดเจอร์ส! เซลติกแต่งตั้งโอนีลหวนคืนเก้าอี้กุนซือ
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส (Brendan Rodgers) ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม เซลติก (Celtic FC) ท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งกับผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสร เดิร์มอต เดสมอนด์ (Dermot Desmond)
ซึ่งกล่าวหาว่าร็อดเจอร์สเป็นผู้ “สร้างความแตกแยก บิดเบือนข้อเท็จจริง และเห็นแก่ตัว”
ขณะเดียวกัน สโมสรได้แต่งตั้งอดีตกุนซือชื่อดัง มาร์ติน โอนีล (Martin O’Neill) วัย 73 ปี กลับมารับตำแหน่งกุนซือชั่วคราว โดยมี ฌอน มาโลนีย์ (Shaun Maloney) อดีตนักเตะเซลติกมารับบทผู้ช่วย
จุดแตกหักหลังฟอร์มตก – เซลติกตามหลังจ่าฝูง 8 แต้ม
เซลติกที่เป็นแชมป์เก่าของศึก สกอตติช พรีเมียร์ชิพ ฤดูกาลนี้ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง
ล่าสุดแพ้ ฮาร์ทส์ (Hearts) แบบหมดรูป 3-1 ที่สนามไทน์คาสเซิล เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ทำให้พวกเขาหล่นไปอยู่ที่สองของตาราง โดยตามหลังฮาร์ทส์ถึง 8 คะแนน หลังผ่านไปเพียง 9 นัด
นอกจากนี้ ทีมยังมีผลงานย่ำแย่ในเกมยุโรป และเผชิญกระแสไม่พอใจอย่างหนักจากแฟนบอลต่อบอร์ดบริหาร
รวมถึงตลาดซื้อขายนักเตะที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของร็อดเจอร์ส
แถลงการณ์ช็อกกลางดึก – “ลาออกทันที”
เวลา 21:44 น. ตามเวลาท้องถิ่น สโมสรเซลติกได้ออกแถลงการณ์สั้นความยาวเพียง 134 คำ
ระบุว่า “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมทันที”
พร้อมขอบคุณสำหรับผลงานตลอดสองช่วงเวลาที่คุมทีม และยืนยันว่า “กระบวนการหาผู้จัดการทีมคนใหม่ได้เริ่มต้นแล้ว”
เพียง 15 นาทีต่อมา สโมสรได้ออกแถลงการณ์อีกฉบับ
คราวนี้ลงนามโดย เดิร์มอต เดสมอนด์ ซึ่งเป็นแถลงการณ์ที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน
เดสมอนด์สวนกลับอย่างรุนแรง
ในจดหมายเปิดผนึกถึงแฟนบอล เดสมอนด์ปฏิเสธคำกล่าวของร็อดเจอร์สที่อ้างว่า “ไม่เคยได้รับข้อเสนอต่อสัญญา”
พร้อมยืนยันว่าสโมสรมีแผนที่จะต่อสัญญาใหม่เพื่อยืนยัน “การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในระยะยาว”
เขายังกล่าวหาร็อดเจอร์สว่า “พูดบิดเบือนข้อเท็จจริง” และ “เห็นแก่ตัวจนทำลายบรรยากาศภายในทีม”
“ทุกการซื้อนักเตะและขายนักเตะในยุคร็อดเจอร์สเกิดขึ้นด้วยความรู้และการอนุมัติของเขา”
— เดิร์มอต เดสมอนด์ กล่าว
“เขาเป็นผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล และเราได้ให้การสนับสนุนทางการเงินตามที่เขาต้องการทุกประการ”
เดสมอนด์ระบุว่า ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น “ไม่ได้เกิดจากโครงสร้างของสโมสร”
แต่เกิดจาก “ความต้องการเอาตัวรอดของคน ๆ หนึ่ง ที่สร้างความเสียหายให้กับคนอื่น ๆ รอบข้าง”
วาทะ “Honda Civic” จุดชนวนแตกหัก
ก่อนหน้านี้ ร็อดเจอร์สเคยให้สัมภาษณ์หลังเกมแพ้ดันดี 0-2 ว่า
“คุณไม่สามารถขับรถฮอนด้าซีวิค แล้วคาดหวังให้มันวิ่งเหมือนเฟอร์รารีได้หรอก”
คำพูดนี้เป็นการพาดพิงถึงคุณภาพของขุมกำลังนักเตะในทีม
ซึ่งทำให้ผู้บริหารสโมสรไม่พอใจอย่างรุนแรง
หลังจากนั้น เดสมอนด์ออกมาโต้ทันทีว่า “ร็อดเจอร์สพูดโกหก”
และย้ำว่าเขาได้รับอำนาจเต็มในการซื้อขายนักเตะ พร้อมการลงทุนเป็นสถิติในนักเตะที่เจ้าตัวเลือกเองทั้งหมด
บื้องหลังความพังทลาย – ความไม่ไว้วางใจสองฝ่าย
ร็อดเจอร์ส วัย 52 ปี กลับมาคุมทีมในปี 2023 หลังจากเคยพาทีมคว้าแชมป์ลีกในปี 2017 และ 2018
เขาเซ็นสัญญา 3 ปี และยืนยันว่าจะ “อยู่ครบสัญญา” เพื่อกู้ศรัทธาจากแฟนบอล หลังจากเคยทิ้งทีมไปคุมเลสเตอร์ ซิตี้ กลางฤดูกาล 2019
แต่หลังจากผ่านไปเพียงสองปี ความสัมพันธ์ระหว่างร็อดเจอร์สและบอร์ดบริหารกลับแตกร้าวอย่างไม่อาจกู้คืน
โดยเฉพาะเมื่อทีมเริ่มหลุดฟอร์มในลีกและยุโรป
โอนีลคืนบัลลังก์หลัง 20 ปี
มาร์ติน โอนีล อดีตกุนซือระดับตำนานของสโมสร ถูกแต่งตั้งให้คุมทีมชั่วคราวเป็นครั้งที่สอง
เขาเคยคุมเซลติกระหว่างปี 2000–2005 และสร้างผลงานยิ่งใหญ่
- คว้าแชมป์ลีก 3 สมัย
- แชมป์สก็อตติชคัพ 3 สมัย
- แชมป์ลีกคัพ 1 สมัย
- และพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพ (2003)
โอนีลไม่ได้คุมทีมใดเลยตั้งแต่ถูกปลดจากน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ในปี 2019
ที่น่าสนใจคือ ก่อนแต่งตั้งไม่กี่ชั่วโมง เขาเพิ่งให้สัมภาษณ์ในรายการ TalkSport
โดยกล่าวว่า “ฮาร์ทส์มีโอกาสคว้าแชมป์ลีกได้ในปีนี้”
พร้อมเสริมว่า “ตอนนี้เซลติกไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิม และเรนเจอร์สก็ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวอีกต่อไป”
ทีมงานใหม่: มาโลนีย์ร่วมงานโอนีล
ฌอน มาโลนีย์ อดีตนักเตะเซลติกและทีมชาติสกอตแลนด์ จะรับบทผู้ช่วยโค้ช
เขาเคยทำงานในทีมสต๊าฟทีมชาติเบลเยียมชุดของโรแบร์โต้ มาร์ติเนซ
ก่อนจะไปคุม ฮิเบอร์เนี่ยน (Hibs) และ วีแกน แอธเลติก (Wigan Athletic)
แต่ถูกปลดทั้งสองสโมสรภายในระยะเวลาไม่ถึงปี
จุดสิ้นสุดของยุคร็อดเจอร์ส – จุดเริ่มต้นใหม่ภายใต้โอนีล
การจากไปของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ถือเป็น “จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่” ของสโมสรเซลติก
จากการเป็นทีมที่ครองความยิ่งใหญ่ กลับสู่ยุคที่เต็มไปด้วยความแตกแยกภายใน
ขณะที่การกลับมาของมาร์ติน โอนีล สร้างความหวังให้แฟนบอลอีกครั้ง
แต่ภารกิจของเขาไม่ง่ายเลย เพราะเซลติกกำลังตามหลัง ฮาร์ทส์ ถึง 8 แต้ม และต้องฟื้นฟูขวัญทีมให้เร็วที่สุด
“จากกุนซือผู้สร้างความสำเร็จ… กลายเป็นต้นเหตุของความแตกแยก”
— สื่อสกอตแลนด์สรุปจุดจบของร็อดเจอร์สไว้เช่นนั้น
